บทความที่เป็นประโยชน์

World Bank คาด GDP ไทยปี 2568 โต 2.9% เงินเฟ้อต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 0.8%

15 กุมภาพันธ์ 2568

World Bank

อัตราเงินเฟ้อต่ำกว่าคาดการณ์ของ ธปท. 

รายงาน *Thailand Economic Monitor* ล่าสุดระบุว่า อัตราเงินเฟ้อในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ 0.8% ซึ่งต่ำกว่ากรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ขณะที่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยังต้องเผชิญกับความท้าทายด้านโครงสร้างที่จำเป็นต้องได้รับการปฏิรูป เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน 

แม้เศรษฐกิจขยายตัว แต่ GDP ไทยยังต่ำกว่าศักยภาพ 

แม้ว่าภาคการบริโภคและการท่องเที่ยวจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่รายงานชี้ว่าปัจจัยเหล่านี้อาจไม่เพียงพอสำหรับการเติบโตระยะยาว ประเทศไทยยังต้องเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีใหม่ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก 

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วยลดความยากจน แต่กระทบฐานะการคลัง 

โครงการโอนเงินดิจิทัล 10,000 บาทของรัฐบาลช่วยเพิ่มการบริโภคและลดอัตราความยากจนลงเหลือ 8.2% ในปี 2567 จาก 8.5% ในปี 2566 อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวมีต้นทุนทางการคลังสูงถึง 145,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.8% ของ GDP ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังในระยะยาว 

ท่องเที่ยวฟื้นตัว แต่เสี่ยงพึ่งพาสูงเกินไป 

ภาคการท่องเที่ยวของไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยคาดว่านักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นเป็น 40 ล้านคนในปี 2568 จาก 35.3 ล้านคนในปี 2567 อย่างไรก็ตาม รายงานเตือนว่าการพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวมากเกินไป อาจทำให้เศรษฐกิจไทยเปราะบางต่อความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ 

หนี้ครัวเรือนยังเป็นปัญหาใหญ่ 

แม้รัฐบาลจะออกมาตรการช่วยเหลือ เช่น การพักชำระหนี้และลดอัตราดอกเบี้ย แต่หนี้ครัวเรือนยังคงสูงถึง 90.7% ของ GDP ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การแก้ปัญหานี้จำเป็นต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้กระทบต่อเสถียรภาพของภาคการเงิน 

SMEs และสตาร์ทอัพ ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจอนาคต 

ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และสตาร์ทอัพ ถือเป็นกุญแจสำคัญต่ออนาคตของเศรษฐกิจไทย โดยปัจจุบัน SMEs คิดเป็น 99.5% ของธุรกิจทั้งหมด และสร้างงานให้ 69.5% ของแรงงานในประเทศ อย่างไรก็ตาม อุปสรรคด้านการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและเทคโนโลยียังคงเป็นปัจจัยจำกัดการเติบโตของธุรกิจเหล่านี้ 

คริสเตียน กิฮาดา ตอร์เรส ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสด้านภาคเอกชนของธนาคารโลก กล่าวเสริมว่า “นวัตกรรมและการเป็นผู้ประกอบการไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป หากประเทศไทยต้องการแข่งขันในเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว” 

แนวทางปรับโครงสร้างเศรษฐกิจสู่การเติบโตยั่งยืน 

ธนาคารโลกแนะนำให้รัฐบาลดำเนินมาตรการสำคัญเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ ได้แก่ 

- ปรับปรุงระบบภาษีให้มีประสิทธิภาพ ลดการพึ่งพานโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการแจกเงิน 

- สนับสนุนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีใหม่ เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ

- ส่งเสริม SMEs และสตาร์ทอัพให้สามารถเข้าถึงเงินทุนและเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มผลิตภาพและนวัตกรรม 

- ปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันและการลงทุนจากต่างประเทศ 

สรุป 

เศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีแนวโน้มฟื้นตัวจากการบริโภคและการลงทุนภาครัฐ แต่ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายจากหนี้ครัวเรือนที่สูง และข้อจำกัดในการลงทุน หากประเทศไทยต้องการก้าวสู่ประเทศที่มีรายได้สูงภายในปี 2580 การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีความยืดหยุ่นและขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมถือเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน 
 

ที่มาข้อมูล : ฐานเศรษฐกิจ

<< กลับไปหน้าบทความ

บทความอื่นๆ