ไทยเร่งเปิดตลาดใหม่ หลังจากที่เป้าหมายการส่งออกปี 2566 มีแนวโน้มชะลอตัวลง
12 มกราคม 2566
การส่งออกของไทยเริ่มเห็นภาพชะลอตัวลงที่ชัดเจนแล้ว หลังจากมูลค่าเป้าหมายการส่งออกใน เดือน ตุลาคม และ พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา ติดลบ 2 เดือนติดต่อกัน ซึ่งทำให้หลายฝ่ายกังวล และการส่งออกในปี 2566 ที่มีแนวโน้มชะลอตัวอย่างชัดเจนส่งผลให้จำเป็นต้องหาแผนรับมือ เพื่อพยุงการส่งออกที่เป็นตัวแปรหลักในการฟื้นเศรษฐกิจไทย
นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ( สรท.) คาดการณ์แนวโน้มภาพรวมการส่งออกไทยในปี 2566 จะขยายตัว 2-3% โดยประเมินจากการส่งออกปี 2565 ที่การส่งออกเชิงปริมาณไม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ดูจากจำนวนตู้คอนเทนเนอร์ที่ใช้ขนส่งปี 2565 ใกล้เคียงปี 2564 หากแต่เป็นราคาสินค้าจากวัตถุดิบ และน้ำมันที่ปรับขึ้น และ ผลพวงของค่าเงินบาทอ่อนค่ามากกว่าค่าเงินของคู่แข่งในตลาดต่างประเทศ
ทั้งนี้ ปี 2566 ราคาน้ำมันประเมินต่ำกว่าปี 2565 โดยอยู่ระดับ 75-85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และ ค่าเงินบาทจะอยู่ 33-35 บาทต่อดอลลาร์ โดยอาจแข็งค่ากว่าค่าเงินของคู่แข่ง ทำให้ปี 2566 จะได้รับแรงกดดันจากราคาที่มีแนวโน้มลดลงตามราคาน้ำมันและวัตถุดิบ
ดังนั้นสินค้าที่เป็นอาหาร ยังมีศักยภาพต่อเนื่อง ผลจากภาวะการขาดแคลนอาหาร เพราะพื้นที่สงครามในยูเครน ยังไม่สามารถเพาะปลูกได้ และ ยังไม่มีแนวโน้มการเจรจาสันติภาพ สำหรับสินค้าอุตสาหกรรมอื่นแปรผันตามภาวเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ ไม่ว่าจะเป็น อุตสาหกรรมรถยนต์ที่ปัญหาการขาดแคลนชิปก็เริ่มคลี่คลาย ส่งผลดีต่อการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า และ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
ปัจจัยที่มีผลการค้าโลกในปี 2566 ประกอบด้วย
- การชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ที่ส่งผลให้การค้าโลกจะเติบโตได้ในระดับต่ำกว่าที่คาดการณ์ 2.6-2.7%
ผลกระทบของภาวะเงินเฟ้อสูง ซึ่งส่งผลให้ธนาคารกลางใช้นโยบายการเงินเข้มงวด แม้ว่าการดำเนินนโยบายจะลดระดับลงมา แต่คาดว่ายังคงดำเนิน นโยบายนี้ต่อในปี 2566 - ค่าเงินบาท ที่ผันผวนปรับตัวในทิศทางแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าค่าเงินของคู่แข่ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อส่วนต่างราคาของผู้ประกอบการส่งออกที่อาจหายไป
- ต้นทุนที่สูงขึ้น ของผู้ประกอบการส่งออก เช่น ค่าไฟฟ้า(FT)และค่าแรง ที่มากกว่าประเทศอื่นๆที่เป็น
ผู้ส่งออก - ปัญหาต้นทุนวัตถุดิบขาดแคลนและราคาผันผวน เช่น ราคาสินค้า และ พลังงานที่ยังทรงตัวในระดับสูงจากผลกระทบทางตรง และ ทางอ้อม จากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังยืดเยื้อ
- สถานการณ์การขาดแคลนชิป เริ่มคลี่คลายในช่วงไตรมาส 3 และ ไตรมาส 4 ของปี 2565
อย่างไรก็ตาม (สรท.) มองว่า ปี 2566 สินค้าส่งออกมีทั้งที่เป็นโอกาส และ สินค้าที่ต้องออกแรงมากขึ้น
สินค้าที่มีโอกาสในปี 2566 อาทิ เช่น
- สินค้ากลุ่มอาหาร
- น้ำตาล
- อัญมณี
- เครื่องประดับ
- ยานยนต์ และ ส่วนประกอบ
สินค้าที่ต้องออกแรงมากขึ้นในปี 2566 อาทิ เช่น
- ยางพารา อันเนื่องมาจากการดำเนินมาตรการ Zero Covid ของจีนทำให้ล็อคดาวน์หลายพื้นที่ ส่งผลให้ยางรถยนต์ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากยางพาราได้รับผลกระทบของยอดคำสั่งซื้อที่ชะลอตัว จากมาตรการ
ดังกล่าวยังอาจดำเนินการต่อไปจนถึงไตรมาส 1 ปี 2566 - เม็ดพลาสติก และ เคมีภัณฑ์ เนื่องจากเป็นสินค้าวัตถุดิบที่ส่งออกให้จีนเป็นหลักทำให้ได้รับผลกระทบจากมาตรการ Zero Covid ของจีน และ การดำเนินนโยบายของจีน Dual Circulation ที่มุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิตในประเทศลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศมากขึ้น ประกอบการจีนได้มีการตั้งโรงงานอุตสาหกรรมด้านเคมีขนาดใหญ่ในพื้นที่การผลิตทำให้การส่งออกสินค้า และ สินค้าต่อเนื่องในกลุ่มดังกล่าวอาจต้องออกแรงมากขึ้นหรืออาจต้องลองมองหาตลาดใหม่ในปีหน้า
- สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เริ่มชะลอตัวลงในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 และ ต่อเนื่องถึงต้นปี 2566
ผลจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลัก เช่น สหรัฐ และ สหภาพยุโรป เริ่มชะลอตัว และ มีโอกาสหดตัวสูงจาก
ผลกระทบอัตราเงินเฟ้อที่ยังสูงกระทบกำลังซื้อผู้บริโภค
ขณะเดียวกันกลุ่มสินค้าดังกล่าวยังคงมีโอกาสขยายการส่งออก แต่ต้องออกแรง และ โฟกัส ตลาดศักยภาพ ลำดับรองที่เริ่มขยายตัว และ ฟื้นตัวจากโควิด อาทิ ตะวันออกกลาง
ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องเร่งทำ คือ การรุกตลาดใหม่ และ รักษาตลาดเดิม โดยต้องเร่งเปิดตลาดกลุ่มประเทศเกิดใหม่
ทั้งเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง อาเซียน CLMV โดยเฉพาะตะวันออกกลาง เช่น ซาอุดิอาระเบีย หลังจากฟื้นความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างกัน
นอกจากนี้ต้องสร้างการรับรู้ของสินค้า สร้างความสัมพันธ์ทางการค้าเชิงลึกกับประเทศคู่ค้าใหม่ ปรับแต่ง สินค้าให้สอดคล้องประเทศปลายทางมากขึ้น และ ต้องผลักดันการส่งออก
สรุปการส่งออกไทยต้องมีการปรับตัว “2 เพิ่ม 2 ลด” คือ เพิ่มช่องทางตลาดใหม่ และ เพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน ลดต้นทุนสินค้า และ ลดสินค้าคงคลัง เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่างๆและเตรียมปรับตัวในปีที่ท้าทาย 2566” นายชัยชาญ เจริญสุข กล่าว
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า แผนการส่งออกปี 2566 ตั้งเป้าบุกตลาดที่มีศักยภาพเพิ่มยอดการส่งออกจากมาตรการปกติที่กำหนดไว้ล่วงหน้าเป็นกรณีเฉพาะ บุก 3 ตลาดใหญ่ ที่มีศักยภาพประกอบด้วย
- ตลาดตะวันออกกลาง
- ตลาดเอเชียใต้
- ตลาด CLMV
โดย 3 ตลาดใหญ่ปี 2565 คาดมียอดการส่งออกรวม 1.7 ล้านล้านบาท และปี 2566 จะเพิ่มเป็น 2 ล้านล้านบาท ประกอบด้วย
1.ตลาดตะวันออกกลาง มุ่ง 3 ตลาดใหญ่ คือ
- ซาอุดิอาระเบีย
- สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
- กาตาร์
สินค้าเป้าหมายสำคัญ คือ อาหาร ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องปรับอากาศ และ วัสดุก่อสร้าง เป็นต้น
โดยตั้งเป้าปี 2566 เพิ่มตัวเลขส่งออก 3 ประเทศนี้ 20% จาก 8,900 ล้านดอลลาร์ในปี 2565
เป็น 10,300 ล้านดอลลาร์ในปี 2566
2. ตลาดเอเชียใต้ เน้นประเทศสำคัญ 3 ประเทศ คือ
- อินเดีย
- บังกลาเทศ
- เนปาล
โดยตั้งเป้าส่งออกปี 2566 ใน 3 ประเทศนี้ ตลาดเอเชียใต้ เพิ่ม 10% เพิ่มจากปี 2565 อยู่ที่ 12,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มเป็น 13,200 ล้านดอลลาร์ ในปี 2566 โดยจะเน้นสินค้าสำคัญ เช่น เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก ยานยนต์
และชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น
3. ตลาด CLMV ประกอบด้วย
- กัมพูชา
- ลาว
- เมียนมา
- เวียดนาม
ตั้งเป้าส่งออกเพิ่ม 10-15% จาก 28,000 ล้านดอลลาร์ใน 2565 เป็น 33,500 ล้านดอลลาร์ในปี2566 สินค้า
เป้าหมายสำคัญ เช่น วัสดุก่อสร้าง เครื่องใช้ไฟฟ้า เม็ดพลาสติก สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม
ที่มาแหล่งข้อมูล : กรุงเทพธุรกิจ
--------------------------
ติดต่อสอบถามบริการ BTL
02-681-2005 ถึง 9
www.bkkterminal.com
m.me/BangkokTerminalLogistics