บทความที่เป็นประโยชน์

สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือ คาดส่งออกปี 66 โต 2-5% ปี 65 มีลุ้นแตะ 9%

10 พฤศจิกายน 2565

สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือ

สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือ คาดส่งออกปี 66 โต 2-5% ปี 65 มีลุ้นแตะ 9%

นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือสภาผู้ส่งออก คาดการณ์ว่า การส่งออกของไทยปี 66 จะเติบโตได้ 2-5% โดยปัจจัยหลักคือต้องเฝ้าระวังเศรษฐกิจโลกหดตัวในปีหน้า ซึ่งมองว่าจะไม่มากไปกว่าไตรมาส 4/65, ติดตามค่าเงินบาทอ่อน โดยคาดว่าจะอ่อนค่าในระดับกลางประมาณ 36-38 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ, ต้นทุนสูงขึ้นจากราคาน้ำมัน ค่าไฟฟ้า และค่าแรง อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดลง คาดอยู่ที่ระดับ 90 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่สถานการณ์ค่าระวางก็มีแนวโน้มปรับตัวลดลงในเส้นทางหลัก ส่วนปัญหาราคาวัตถุดิบผันผวน ถึงแม้ปัญหาเซมิคอนดักเตอร์จะบรรเทาลงบ้าง แต่ยังจำเป็นต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

ขณะที่ทั้งปี 65 คาดการส่งออกจะเติบโต 8% และมีโอกาสไปแตะ 9% ได้ หากไตรมาส 4 ปีนี้การส่งออกยังมีทิศทางที่เติบโตได้ต่อเนื่อง และไม่มีผลกระทบเพิ่มเติมมากกว่านี้ อย่างไรก็ดี ถ้าจะให้การส่งออกแตะถึง 10% ต้องอาศัยการเติบโตด้านเศรษฐกิจและการส่งออกมากกว่านี้ ซึ่งมองว่ากรณีนี้เป็นไปได้ปานกลางถึงน้อย

สำหรับปัจจัยหนุนที่สำคัญของปี 65 คือ

1. ค่าเงินบาทยังเคลื่อนไหวในทิศทางที่อ่อนค่าต่อเนื่อง ส่งผลต่อการส่งออกสินค้าของไทยที่ใช้วัตถุดิบภายในประเทศ (Local Content) ได้รับประโยชน์ โดยเฉพาะการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐอเมริกา และตะวันออกกลาง

2. สถานการณ์วิกฤตอาหารทั่วโลก ส่งผลให้สินค้าไก่ (แช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูป) และอาหารกระป๋องแปรรูปของไทย ส่งออกไปสหภาพยุโรป และสหราชอาณาจักร เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมไปถึงสินค้าข้าวด้วย

แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคสำคัญในปี 65 ได้แก่

1. สถานการณ์อัตราเงินเฟ้อของประเทศคู่ค้าสำคัญ มีทิศทางเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะสหรัฐฯ ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และธนาคารกลางทั่วโลกดำเนินนโยบายทางการเงินแบบเข้มงวดเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ทำให้อุปสงค์และกิจกรรมทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอลง เนื่องจากต้นทุนทางการเงินปรับสูงขึ้นตามทิศทางดอกเบี้ย นอกจากนี้ ยังทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น จากเงินทุนที่มีแนวโน้มจะเคลื่อนย้ายไหลเข้าสหรัฐฯ เนื่องจากดอกเบี้ยปรับสูงขึ้น

2. ดัชนีภาคการผลิต หรือ Manufacturing PMI ในประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น สหรัฐฯ ยุโรป จีน และเกาหลีใต้ เริ่มส่งสัญญาณหดตัวลดลงเล็กน้อยในช่วงเดือนก.ย.-ต.ค.

3. ราคาพลังงานทรงตัวในระดับสูง จากสถานการณ์ข้อพิพาทระหว่างยูเครนและรัสเซียที่ยังคงยืดเยื้อ ประกอบราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากโอเปกพลัส (OPEC+) เล็งปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน ส่งผลต่อเนื่องถึงต้นทุนภาคการผลิตในภาคอุตสาหกรรม และต้นทุนในการดำรงชีวิตภาคครัวเรือน ปรับตัวสูงขึ้นทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง

4. ปัญหาต้นทุนวัตถุดิบขาดแคลนและราคาผันผวน เช่น ข้าวสาลี ข้าวโพด เมล็ดทานตะวัน ปุ๋ย เป็นต้น

5. สถานการณ์การขาดแคลนชิปเริ่มคลี่คลายในช่วงเดือนที่ผ่านมา แต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการในภาคการผลิตที่มีชิปเป็นส่วนประกอบสำคัญ เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ ฯลฯ ประกอบกับกฎหมาย CHIPS and Science Act of 2022 ของสหรัฐฯ กดดันจีนต่อห่วงโซ่อุปทานการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงในอนาคต

สำหรับตัวเลขการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนก.ย. 65  การส่งออกมีมูลค่า 24,919.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 7.8% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 888,371 ล้านบาท ขยายตัว 16.4% (เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย พบว่าการส่งออกในเดือนก.ย. ขยายตัว 9.0%)

ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 25,772.5 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 15.6% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 929,732 ล้านบาท ขยายตัว 24.7% ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในเดือนก.ย. 65 ขาดดุลเท่ากับ 853.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเท่ากับ 41,361 ล้านบาท

ส่วนภาพรวม 9 เดือนแรกของปี 65 (ม.ค.-ก.ย. ปี 65) ไทยส่งออกรวมมูลค่า 221,366 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 10.6% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 7,523,817 ล้านบาท ขยายตัว 21.3% (เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย พบว่าการส่งออกในช่วงม.ค.-ก.ย. ขยายตัว 8.6%)

ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 236,351 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 20.7% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 8,148,602 ล้านบาท ขยายตัว 32.3% ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในเดือนม.ค.-ก.ย. ของปี 65 ขาดดุลเท่ากับ 14,984.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็น 624,785 ล้านบาท

ทั้งนี้ สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย มีข้อเสนอแนะที่สำคัญ ได้แก่

1. เร่งดำเนินการความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ที่สำคัญ เช่น ไทย-ยุโรป, ไทย-อังกฤษ และตลาดรองอื่น เพื่อเสริมศักยภาพด้านการแข่งขันภาคส่งออก และดึงดูดการลงทุนเข้ามาในประเทศในระยะยาว

2. ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รักษาระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อประคองการฟื้นตัวภาคธุรกิจ และไม่เป็นการซ้ำเติมรายจ่ายของผู้บริโภค และต้นทุนของผู้ประกอบการมากเกินไป

3. ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหากฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายลำ (Transshipment) รวมถึงเร่งทำความเข้าใจกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้ชัดเจน เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการรับส่งสินค้าของอาเซียน (ASEAN Logistic Hub) เพื่อดึงดูดเรือแม่เข้ามาให้บริการแบบขนส่งตรง (Direct Call) มากขึ้น ผู้ประกอบการไทยสามารถบริหารจัดการต้นทุนค่าระวางเรือให้อยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในต่างประเทศได้

 

ที่มา : infoquest.co.th

--------------------------

ติดต่อสอบถามบริการ BTL

02-681-2005ถึง9

www.bkkterminal.com

m.me/BangkokTerminalLogistics

<< กลับไปหน้าบทความ

บทความอื่นๆ