บทความที่เป็นประโยชน์

ส่งออกไทย 2565 ในเดือน ม.ค. ขยายตัว 8 % พร้อมเจรจาหาตลาดเพิ่ม

9 มีนาคม 2565

ส่งออกไทย 2565

ส่งออกไทย ม.ค. 2565 ขยายตัว 8 % พร้อมเจรจาหาตลาดเพิ่ม

นายจุรินทร์  ลักษณวิศิษฏ์  รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า  การส่งออกของไทยเดือน ม.ค. 2565 มีมูลค่า21,258 ล้านดอลลาร์  ขยายตัว  8%  เมื่อเทียบกับม.ค.2564 ที่ขยายตัวแค่ 0.1%  ส่วนการนำเข้า มีมูลค่า 23,785  ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 20.5%  ซึ่งเป็นผลมาจากการนำเข้าวัตถุดิบที่นำมาใช้ในการผลิต และการนำเข้าน้ำมันที่ราคาสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยขาดดุลการค้ามูลค่า 2,526.4 ล้านดอลลาร์

โดยปัจจัยที่ทำให้การส่งออกไทยเดือนม.ค.ขยายตัว 8 %  มาจากการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับภาคเอกชนที่ยังเดินหน้าต่ออย่างเข้มข้น  บวกกับภาคการผลิตทั่วโลกยังขยายตัว ดูได้จากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตโลก (Global Manufacturing PMI) เหนือระดับ 50 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 19 สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจยังฟื้นตัวต่อเนื่อง  รวมทั้งปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์เริ่มดีขึ้น โดยเฉพาะท่าเรือแหลมฉบังและท่าเรือกรุงเทพ ซึ่งสหรัฐกับภาคเอกชนร่วมมือกันขยายเวลาทำการในวันหยุด และเพิ่มการทำงานในช่วงกลางคืน ทำให้การขนส่งคล่องตัวขึ้นและตู้คงค้างลดลง  ซึ่งปี 65นี้ยังคงตั้งเป้าการส่งออกไว้ที่ 3-4 %  ขยายตัว 31.9%  

สำหรับตลาดที่ขยายตัวสูงสุด 10 อันดับแรกในเดือนม.ค.2565 ได้แก่  1. อินเดีย ขยายตัว 31.9%  2. รัสเซีย ขยายตัว 31.9%  3. สหราชอาณาจักร ขยายตัว 29.7%  4. เกาหลีใต้ ขยายตัว 26.8%  5. สหรัฐฯขยายตัว 24.1%  6. แคนาดา ขยายตัว 13.6%  7. อาเซียน5 ขยายตัว 13.2%  8. จีน ขยายตัว 6.8%  9. ลาตินอเมริกา ขยายตัว 5.0%  10. สหภาพยุโรปขยายตัว 1.4%  ทั้งนี้ตัวเลขการส่งออกเดือนม.ค.ที่ออกมาล่าช้าและไม่มีรายละเอียดรายสินค้า เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่กรมศุลกากรปรับระบบพิกัดศุลกากรทุก 5 ปี

สำหรับสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน กระทรวงพาณิชย์ ร่วมประชุมกับภาคเอกชน ทั้งสภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สมาพันธ์ SMEs และสมาคมอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยที่ประชุมเห็นว่า สถานการณ์ขณะนี้ยังไม่มีผลกระทบทางตรงต่อการส่งออกของไทย เพราะตลาดรัสเซียเป็นตลาดส่งออกที่มีสัดส่วนการตลาดแค่ 0.38% ของไทย และตลาดยูเครน 0.04% ถือว่าเป็นสัดส่วนที่ไม่มาก สำหรับผลกระทบทางอ้อม อาจมีเรื่องราคาพลังงาน ราคาเหล็กนำเข้าที่นำมาผลิตสินค้าต่อเนื่อง เช่น กระป๋อง หรือก่อสร้าง ที่จะได้รับผลกระทบ รวมถึงธัญพืชนำเข้าเพื่อทำอาหารสัตว์ เช่น ข้าวสาลีและข้าวโพด โดยเฉพาะยูเครน ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกข้าวสาลีรายใหญ่ของโลก

อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการรับมือ กระทรวงพาณิชย์ได้เตรียมมาตรการต่าง ๆ รองรับร่วมกัน หากเกิดปัญหา โดยจะหาตลาดทดแทน เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกา ลาตินอเมริกา  ในส่วนปัญหาการขนส่งสินค้าที่อาจหยุดชะงักจากความขัดเย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่อาจทำให้มีการปิดท่าเรือบางแห่งนั้น ก็สามารถนำสินค้าขึ้นท่าเรือผ่านประเทศอี่นได้    หรืออาจมีการเร่งรัดเจรจากับทางการจีนเปิดเส้นทางรถและทางราง เพื่อขนส่งสินค้าของไทยผ่านแดนจีนไปยังเอเชียกลาง และยุโรป  

 

แหล่งข้อมูล : กรุงเทพธุรกิจ

----------------------------

ติดต่อสอบถามบริการ BTL

02-681-2005 ถึง 9

www.bkkterminal.com

m.me/BangkokTerminalLogistics

<< กลับไปหน้าบทความ

บทความอื่นๆ